เมนู

[812] มหาบพิตรมารดาอาตมภาพผู้เดือดร้อน
ยิ่งนักให้หายร้อน ดับความกระวนกระวาย
ได้ทั้งสิ้น เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดที่
เปรียงให้ดับไปฉะนั้น มหาบพิตรมาถอนลูก
ศรคือความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในหทัยของ
อาตมภาพออกได้แล้วหนอ เมื่ออาตมภาพถูก
ความโศกครอบงำมหาบพิตรก็ได้บรรเทาความ
โศกถึงบุตรเสียได้ ดูก่อนท้าววาสวะ อาตม-
ภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจาก
ความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตมภาพ
จะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำ
ของมหาบพิตร.

จบ มิคโปตกชาดกที่ 2

อรรถกถามิคโปตกชาดกที่ 2


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุแก่รูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อคารา
ปจจุเปตสฺส
ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุแก่นั้นให้เด็กคนหนึ่งบวช. สามเณรบำรุงภิกษุ
แก่นั้นโดยเคารพ ครั้นกาลต่อมา ได้กระทำกาละโดยความไม่ผาสุก.

เพราะการทำกาละของสามเณรนั้น ภิกษุแก่ถูกความโกรธครอบงำ
เที่ยวร่ำไห้ด้วยเสียงอันดัง. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจให้ยินยอมได้ จึงสั่ง
สนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุแก่ชื่อโน้นเที่ยว
ร่ำไห้ เพราะการทำกาละของสามเณร ภิกษุแก่นั่นคงจักเหินห่างการ
เจริญมรณัสสติ. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุแก่นี้ เมื่อสามเณรนั้นตายแล้ว
ก็เที่ยวร่ำไห้อยู่ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ครองความเป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น มีบุรุษ
ชาวแคว้นกาสีคนหนึ่ง เข้าไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี ยัง
อัตภาพให้เป็นไปด้วยผลไม้น้อยใหญ่. วันหนึ่ง ฤๅษีนั้นเห็นลูกเนื้อ
แม่ตายตัวหนึ่งในป่า จึงนำมายังอาศรมบท ให้เหยื่อเลี้ยงดูไว้. ลูก
เนื้อเติบโตขึ้นมีรูปร่างงามถึงความงามอันเลิศ. ดาบสกระทำลูกเนื้อ
นั้นให้เป็นลูกของตนอยู่. วันหนึ่ง ลูกเนื้อกินหญ้ามากไป ได้กระทำ
กาละเพราะไม่ย่อยดาบสเที่ยวร่ำไห้ว่า ลูกเราตายเสียแล้ว. ในกาลนั้น
ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดูชาวโลก ทรงเห็นดาบสนั้น ดำริว่า
จักทำดาบสนั้นให้สลดใจ จึงเสด็จมาแล้วประทับยืนในอากาศ ตรัส
คาถาที่ 1 ว่า :-

การที่ท่านเศร้าโศกถึงลูกเนื้อผู้ละไปแล้ว
เป็นการไม่สมควรแก่ท่านผู้หลีกออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตสงบระงับ.

ดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ดูก่อนท้าวสักกะ ความรักของมนุษย์
หรือเนื้อ ย่อมเกิดขึ้นในใจ เพราะอยู่ร่วมกัน
มา มนุษย์หรือเนื้อนั้น อาตมภาพไม่สามารถ
ที่จะไม่เศร้าโศกถึงได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ สกฺกา ความว่า อาตม-
ภาพไม่อาจเพื่อจะไม่โศกถึงมนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉานนั้น คือ อาตม-
ภาพเศร้าโศกถึงทีเดียว.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะได้ตรัสคาถา 2 คาถาว่า :-
ชนเหล่าใดร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อถึงผู้ตาย
ไปแล้ว และผู้จะตายอยู่ในบัดนี้ การร้องไห้
ของชนเหล่านั้น สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า
เปล่าจากประโยชน์ ดูก่อนฤาษี เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าร้องไห้เลย.
ดูก่อนพราหมณ์ ผู้ที่ตายไปแล้ว ละไป
แล้ว หากจะกลับเป็นขึ้นได้เพราะการร้องไห้

เราก็จะประชุมกันทั้งหมด ร้องไห้ถึงญาติ
ของกันและกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มริสฺสํ ได้แก่ บุคคลผู้จักตายใน
บัดนี้. บทว่า ลปนฺติ จ ได้แก่ บ่นเพ้อ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้
ไว้ว่า ชนเหล่าใดร้องไห้ถึงคนผู้ตายแล้ว และผู้จักตายอยู่ในโลก
ชนเหล่านั้นก็คงจะร้องไห้และบ่นเพ้ออยู่. ชื่อว่าวันที่จะขาดน้ำตาของ
ชนเหล่านั้น ย่อมไม่มี เพราะเหตุไร ? เพราะคนผู้ตายไปแล้วและคนผู้
ที่จะตายยังมีอยู่เสมอ. บทว่า อิสิ มา โรทิ ความว่า ดูก่อนฤๅษี
เพราะฉะนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย. เพราะเหตุไร ? เพราะสัตบุรุษ
ทั้งหลายกล่าวว่าการร้องไห้เปล่าประโยชน์. อธิบายว่า สัตบุรุษ
ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมกล่าวการร้องไห้ว่าเป็นหมัน.
บทว่า มโต เปโต ความว่า ถ้าบุคคลที่เรียกว่า ผู้ตายแล้ว ผู้ละ
ไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นเพราะการร้องให้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวก
เราจะอยู่เฉยทำไม พวกเราทั้งหมดทีเดียว จะพากันประชุมร้องให้ถึง
ญาติทั้งหลายของกันและกัน ก็เพราะเหตุที่ญาติเหล่านั้นไม่ฟื้นขึ้น
เพราะเหตุร้องไห้ เพราะฉะนั้น ท้าวสักกะ จึงทรงประกาศการร้องไห้
ว่าเป็นหมัน.
เมื่อท้าวสุกกะตรัสไป ๆ อยู่อย่างนี้ ดาบสกำหนดได้ว่า การ
ร้องไห้ไร้ประโยชน์ เมื่อจะกระทำการชมเชยท้าวสักกะ จึงได้กล่าว
คาถา 3 คาถาว่า :-

มหาบพิตรมารดาอาตมภาพผู้เดือดร้อน
ยิ่งนักให้หายร้อน ดับความกระวนกระวายได้
ทั้งสิ้น เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดที่เปรียง
ให้ดับไปฉะนั้น มหาบพิตรมาถอนลูกศรคือ
ความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในหทัยของอาตม-
ภาพออกได้แล้วหนอ เมื่ออาตมภาพถูกความ
โศกครอบงำ มหาบพิตรก็ได้บรรเทาความ
โศกถึงบุตรเสียได้ ดูก่อนท้าววาสวะ อาตม-
ภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจาก
ความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตม-
ภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อย-
คำของมหาบพิตร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยมาสิ ตัดบทเป็น ยํ เม อาสิ.
บทว่า หทยนิสฺสิตํ1 ได้แก่ เสียบแน่นอยู่ในหทัย. บทว่า อปานุทิ
ได้แก่ นำออกแล้ว.
ท้าวสักกะครั้นประทานโอวาทแก่ดาบส แล้วก็เสด็จไปเฉพาะ
ยังสถานที่ของพระองค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุแก่ในบัดนี้
1. บาลีว่า หทยสฺสิตํ.

เนื้อในครั้งนั้น ได้มาเป็นสามเณรในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามิคโปตกชาดกที่ 2

3. มูสิกชาดก


ควรเรียนทุกอย่างแต่ไม่ควรใช้ทุกอย่าง


[813] คนบ่อพร่ำอยู่ว่า นางทาสีชื่อมูสิกาไป
ไหน ๆ เราคนเดียวเท่านั้นรู้ว่า นางทาสีชื่อ
ว่ามูสิกา ตายอยู่ในบ่อน้ำ.
[814] เหตุใดท่านจึงคิดอย่างนี้ และมองหา
โอกาสจะประหารทางนี้ ๆ กลับไปแล้ว
เหมือนลา เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่า ท่านฆ่า
นางทาสีชื่อว่ามูสิกาตายทิ้งไว้ในบ่อน้ำ วันนี้
ปรารถนาจะกินข้าวเหนียวอีกหรือ.
[815] แน่เจ้าผู้โง่เขลา เจ้ายังเป็นเด็กอ่อน
ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีผมดำสนิท มายืนถือ
ท่อนไม้ยาวนี้อยู่ เราจะไม่ยอมยกชีวิตให้
แก่เจ้า.
[816] เราเป็นผู้อันบุตรปรารถนาจะฆ่าเสีย จะ
พ้นจากความตาย เพราะภพในอากาศหรือ
เพราะบุตรที่รักเปรียบด้วยอวัยวะก็หาไม่ เรา
พ้นจากความตายเพราะคาถาที่อาจารย์ผู้ให้.